วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คราวนี้พาไปเยือนฝรั่งเศส มาดูประวัติเจ้าสิ่งนี้กัน

ประวัติและข้อมูลของหอไอเฟลนะ




















หอไอเฟล (อังกฤษ: Eiffel Tower, ฝรั่งเศส: Tour Eiffel) หอคอยโครงสร้างเหล็ก ที่Champ de Mars บริเวณแม่น้ำแซน ในเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส สถานที่และสัญลักษณ์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) โดย กุสตาฟ ไอเฟล ผู้ออกแบบคนเดียวกับเทพีเสรีภาพ เพื่อเป็นสัญลักษณ์การจัดงานแสดงสินค้าโลกในปี 1889 (พ.ศ. 2413) ฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม หอไอเฟลทำขึ้นจากโลหะ 15,000 ชิ้น หนักถึง 7,000 ตัน ยึดต่อด้วยน๊อต 2,500,000 ตัว สีทาทั้งหมด 35 ตัน สูง 1,050 ฟุต สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 7,799,401 ฟรังก์ แรกๆที่หอไอฟสร้างเสร็จ หอไอเฟลได้รับการประณามโดยทั่วไปว่าเป็นไอเดียที่ประหลาดและไม่เข้าท่า หอคอยไอเฟลได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในช่วงเวลา พ.ศ. 2432 - 2473 ในปัจจุบัน หอคอยไอเฟลมีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมประมาณ 5.5 ล้านคนต่อปี นับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
การอ่านออกเสียงในภาษาฝรั่งเศสคือ /ɛ'fɛl/ อ่านเหมือนคำว่า "a-fell" และสำหรับคำในภาษาอังกฤษคือ /'aɪfəl/ อ่านเหมือนคำว่า "eye-full"











โครงสร้าง
หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น ในขณะที่ก่อสร้างปี พ.ศ. 2432(ค.ศ. 1889) หอไอเฟลนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดบนโลก โดยถูกล้มตำแหน่งเมื่อเมืองนิวยอร์กได้สร้าง ตึกไครสเลอร์ สูง 319 เมตร(1046 พุต)
น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ขั้น
เหตุการณ์
พ.ศ. 2432(ค.ศ. 1889) หอคอยได้สร้างเสร็จ และเป็น 1 ในสิ่งก่อสร้างในงาน EXPO
พ.ศ. 2473(ค.ศ. 1930) หอเสียตำแหน่งสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก ให้แก่ตึกไครสเลอร์
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2468-พ.ศ. 2477(ค.ศ. 1925-1934) ประดับไฟ 3 ด้านใน 4 ด้านของหอ
พ.ศ. 2483(ค.ศ. 1940) เมื่อนาซีเยอรมันสามารถยึดปารีสได้แล้ว ชาวฝรั่งเศสได้ตัดลิฟท์ออก ทำให้ฮิตเลอร์ต้องปีนบันได 1,665 ขั้น แต่เขาไม่ปีน เขาให้เอาธงเยอรมันไปปักไว้บนหอแทน
พ.ศ. 2487(ค.ศ. 1944) เดือนสิงหาคม ฮิตเลอร์สั่ง Dietrich von Choltitz ให้เผาเมืองปารีส และหอทิ้ง แต่เขากลับฝืนคำสั่งไม่เผา เพราะว่าเขาเสียดายเมือง
พ.ศ. 2499(ค.ศ. 1956) วันที่3 มกราคม ไฟไหม้ยอดของหอ และในปีเดียวกันนั้นก็ได้นำเสาอากาศวิทยุไปติ้งตั้งบนยอดด้วย
ทศวรรษที่ 1980 ได้มีการเคลื่อนย้ายรื้อร้านอาหารที่เก่าแก่ในหอออก ไปสร้างใหม่ในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา สหรัฐอเมริกาแทน
พ.ศ. 2543(ค.ศ. 2000) ได้มีการติดตั้งโคมไฟบนยอดของหอ
พ.ศ. 2545(ค.ศ. 2002) วันที่28 พฤศจิกายน หอไอเฟลต้อนรับแขกคนที่ 200 ล้าน
พ.ศ. 2546(ค.ศ. 2003) วันที่22 กรกฎาคม ไฟไหม้ยอดของหอ ในห้องเก็บของอีกครั้ง ใช้เวลาดับไฟประมาณ 40 นาที

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553



คุณเคยถามตัวเองหรือไม่ ว่าสิ่งที่ดีที่สุในชีวิตของคุณคืออะไร
คำตอบสำหรับคำถามนี้ในแต่ละคนต่างกัน เช่น..




สิ่งที่ดีที่สุดคือการได้พบกับคนที่เรารักมากที่สุด

มีลูกที่ดี มีเพื่อนที่ดีที่สุด ได้งานทำที่ดี ได้เลื่อนตำแหน่ง
มีกิจการเป็นของตัวเอง ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่หนึ่ง
ได้ไปต่างประเทศ และยังมีเรื่องราวที่เป็นที่สุดอีกมากมาย



แต่มีใครเคยคิดบ้างว่า
การที่คนเราได้เกิดมาในโลกใบนี้นี่แหละ ถึอว่าเป็นเรื่องราวที่ดีสุดแล้ว




ความมหัศจรรย์ของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเราลืมตาขึ้นมาดูโลก

ถึงแม้บางคนจะบอกว่าเราเกิดมาใช้กรรม แต่นอกจากใช้กรรมแล้ว
เรายังสามารถสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้อีกมากมาย
ได้ค้นพบประสบการณ์ใหม่ ๆ เก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ ให้กับตนเอง
และคนรอบข้างไม่จบไม่สิ้น ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่




ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีอีกเช่นกัน


คิดดูสิ การที่เราได้เกิดมาบนโลกใบนี้
เราไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เราเกิดมาตัวเปล่า
ดังนั้นชีวิตหลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา
ขอให้ถือว่ามันคือกำไรชีวิต




ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่เราได้พบจะทำให้เรา ร้องไห้ ผิดหวังแค่ไหนก็ตาม

แต่มันก็ทำให้เราเข้มแข็ง และกล้าที่จะยอมรับความจริง
นั่นคือบททดสอบ มันทำให้ความเป็นคนของเราสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ทุกอย่างถือเป็นกำไรทั้งสิ้น ไม่มีคำว่าขาดทุน



สอบตกก็กำไร ทำให้เราพยายามมากขึ้น

ถูกคุณครูว่า ก็กำไร ทำให้เรามีความตั้งใจมากขึ้น
ตกงานก็กำไร ทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น
ผิดหวังจากความรักก็กำไร ทำให้เรารู้คุณค่าของความรักมากขึ้น



รู้หรือไม่ว่า ชีวิตให้ของขวัญอะไรกับเรา
ทุกคนได้รับของขวัญโดยเท่าเทียมกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว



วันพรุ่งนี้ไงล่ะ วันใหม่ การเริ่มต้นใหม่ ทุกคนเริ่มต้นใหม่ได้เสมอได้ทุกวัน

ทุกครั้งที่เหนื่อย ท้อใจ ผิดหวัง เมื่อดวงตะวันทอแสงในยามเช้า
เราจะพบกำไรอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ ความหวัง
เมื่อวันใหม่เริ่มต้น ความหวังก็จะยังอยู่กับเรา
ไม่มีวันหยุด จนกว่าจะหมดลมหายใจ



โปรดอย่ากำหนดชีวิตตัวเองด้วยการจากโลกนี้ไป
อย่าตัดสินใจอย่างนั้น คุณกำลังทิ้งของขวัญที่ดีที่สุดของคุณ
ทิ้งความหวัง ทิ้งกำไรชีวิต ถ้าคุณทำแบบนั้น คุณจะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร



ในเมื่อเราเกิดมาแล้วขอให้อยู่จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิตเถิด
จนกว่าคุณจะหมดแรงสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับชีวิต




มันน่าเสียดายมากนะ ถ้าคุณไม่ได้เห็นวันพรุ่งนี้ของคุณ

ไม่ได้รับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิต
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในด้านบวก หรือลบ ขอให้เรียนรู้ที่จะก้าวผ่านไปให้ได้

และเมื่อคุณมองย้อนกลับไปในอดีตที่ได้ฝ่าฟัน
หรืออดทนกับมันมา คุณจะพบว่าคุณช่างเป็นบุคคลที่กล้าหาญเหลือเกิน
ความภาคภูมิใจในตัวเองจะบังเกิดขึ้นกับคุณ
คุณจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น และยืนหยัดได้อย่างมั่นคง
คุณจะบอกกับตัวเองว่าอุปสรรคที่ผ่านมามันช่างเล็กน้อยเหลือเกิน

ไม่มีอะไรจะเกินความสามารถของคนเราไปได้เลย
ถ้าคุณยังมีความหวัง และคิดเสมอว่าทุกย่างก้าวของชีวิต
ทุกลมหายใจที่มีอยู่ ทุกอย่างคือกำไร



ขอให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่อยู่เสมอ
เพราะคุณคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้
และไม่มีวันที่คุณจะขาดทุนจากการดำเนินชีวิต

ของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิต



คุณเคยถามตัวเองหรือไม่ ว่าสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณคืออะไร
คำตอบสำหรับคำถามนี้ในแต่ละคนต่างกัน เช่น..



สิ่งที่ดีที่สุดคือการได้พบกับคนที่เรารักมากที่สุด

มีลูกที่ดี มีเพื่อนที่ดีที่สุด ได้งานทำที่ดี ได้เลื่อนตำแหน่ง
มีกิจการเป็นของตัวเอง ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่หนึ่ง
ได้ไปต่างประเทศ และยังมีเรื่องราวที่เป็นที่สุดอีกมากมาย


แต่มีใครเคยคิดบ้างว่า
การที่คนเราได้เกิดมาในโลกใบนี้นี่แหละ ถึอว่าเป็นเรื่องราวที่ดีสุดแล้ว



ความมหัศจรรย์ของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเราลืมตาขึ้นมาดูโลก

ถึงแม้บางคนจะบอกว่าเราเกิดมาใช้กรรม แต่นอกจากใช้กรรมแล้ว
เรายังสามารถสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้อีกมากมาย
ได้ค้นพบประสบการณ์ใหม่ ๆ เก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ ให้กับตนเอง
และคนรอบข้างไม่จบไม่สิ้น ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่



ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีอีกเช่นกัน


คิดดูสิ การที่เราได้เกิดมาบนโลกใบนี้
เราไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เราเกิดมาตัวเปล่า
ดังนั้นชีวิตหลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา
ขอให้ถือว่ามันคือกำไรชีวิต



ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่เราได้พบจะทำให้เรา ร้องไห้ ผิดหวังแค่ไหนก็ตาม

แต่มันก็ทำให้เราเข้มแข็ง และกล้าที่จะยอมรับความจริง
นั่นคือบททดสอบ มันทำให้ความเป็นคนของเราสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ทุกอย่างถือเป็นกำไรทั้งสิ้น ไม่มีคำว่าขาดทุน


สอบตกก็กำไร ทำให้เราพยายามมากขึ้น

ถูกคุณครูว่า ก็กำไร ทำให้เรามีความตั้งใจมากขึ้น
ตกงานก็กำไร ทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น
ผิดหวังจากความรักก็กำไร ทำให้เรารู้คุณค่าของความรักมากขึ้น


รู้หรือไม่ว่า ชีวิตให้ของขวัญอะไรกับเรา
ทุกคนได้รับของขวัญโดยเท่าเทียมกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว


วันพรุ่งนี้ไงล่ะ วันใหม่ การเริ่มต้นใหม่ ทุกคนเริ่มต้นใหม่ได้เสมอได้ทุกวัน

ทุกครั้งที่เหนื่อย ท้อใจ ผิดหวัง เมื่อดวงตะวันทอแสงในยามเช้า
เราจะพบกำไรอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ ความหวัง
เมื่อวันใหม่เริ่มต้น ความหวังก็จะยังอยู่กับเรา
ไม่มีวันหยุด จนกว่าจะหมดลมหายใจ


โปรดอย่ากำหนดชีวิตตัวเองด้วยการจากโลกนี้ไป
อย่าตัดสินใจอย่างนั้น คุณกำลังทิ้งของขวัญที่ดีที่สุดของคุณ
ทิ้งความหวัง ทิ้งกำไรชีวิต ถ้าคุณทำแบบนั้น คุณจะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร


ในเมื่อเราเกิดมาแล้วขอให้อยู่จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิตเถิด
จนกว่าคุณจะหมดแรงสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับชีวิต



มันน่าเสียดายมากนะ ถ้าคุณไม่ได้เห็นวันพรุ่งนี้ของคุณ

ไม่ได้รับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิต
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในด้านบวก หรือลบ ขอให้เรียนรู้ที่จะก้าวผ่านไปให้ได้

และเมื่อคุณมองย้อนกลับไปในอดีตที่ได้ฝ่าฟัน
หรืออดทนกับมันมา คุณจะพบว่าคุณช่างเป็นบุคคลที่กล้าหาญเหลือเกิน
ความภาคภูมิใจในตัวเองจะบังเกิดขึ้นกับคุณ
คุณจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น และยืนหยัดได้อย่างมั่นคง
คุณจะบอกกับตัวเองว่าอุปสรรคที่ผ่านมามันช่างเล็กน้อยเหลือเกิน

ไม่มีอะไรจะเกินความสามารถของคนเราไปได้เลย
ถ้าคุณยังมีความหวัง และคิดเสมอว่าทุกย่างก้าวของชีวิต
ทุกลมหายใจที่มีอยู่ ทุกอย่างคือกำไร


ขอให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่อยู่เสมอ
เพราะคุณคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้
และไม่มีวันที่คุณจะขาดทุนจากการดำเนินชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

ชีวิตพอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก ( เมื่อนานมาแล้ว )

ชีวิตพอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก
: วอร์เรน บัพเฟตต์ (Warren Buffet)





มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก (รองจากบิล เกตส์) ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศลถึง 31 , 000 ล้านดอลล่าร์

(เป็นเงินไทยก็ราวๆ 1,000,000,000,000 อ่านว่า 1 ล้าน ล้านบาท โอ้แม่เจ้า)



ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา :



1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!



2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์



3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม



4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน



5) เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก



6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท เขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปี เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ



7) เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ
กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย
กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1



8 ) เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกินและดูโทรทัศน์



9) บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบบัฟเฟตต์จริงๆ ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน บัพเฟตต์



10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน



11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า : จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเอง



ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย ๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง



มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม1มื้อ เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน

ชีวิตพอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก ( เมื่อนานมาแล้ว )

ชีวิตพอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก
: วอร์เรน บัพเฟตต์ (Warren Buffet)





มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก (รองจากบิล เกตส์) ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศลถึง 31 , 000 ล้านดอลล่าร์

(เป็นเงินไทยก็ราวๆ 1,000,000,000,000 อ่านว่า 1 ล้าน ล้านบาท โอ้แม่เจ้า)



ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา :
1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!
2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์
3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม
4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน
5) เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก
6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท เขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปี เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ
7) เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ
กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย
กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1
8 ) เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกินและดูโทรทัศน์
9) บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบบัฟเฟตต์จริงๆ ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน บัพเฟตต์
10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน
11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า : จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเอง



ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย ๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง



มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม1มื้อ เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน